
แค่ช่วยตอนจมน้ำครั้งเดียว…อยู่ดีๆ ผมก็โดนบอกชอบ ?
ไอ้เด็กคนนั้นมันชื่อว่า “เคส” เป็นเด็กกรุงเทพ ซึ่งเป็นลูกของนายทุนใหญ่ที่มาซื้อที่แถวๆ บ้านนอกที่ห่างไกลแต่เป็นแหล่งท่องเที่ยว หวังจะเอาความเจริญเข้ามาสู่ สร้างรีสอร์สไตล์บ้านไร่ แล้วก็ร้านกาแฟริมน้ำให้คนมานั่งชิลๆกันได้ ส่วนผมเองก็เป็นแค่ลูกจ้างที่ไปช่วยเดินระบบไฟร้านกาแฟก็เท่านั้น อย่างแรกคือเราต่างกันเลยไปจริงๆ
ผม เอ็ม ผมก็แค่ช่างไฟบ้านนอกคนหนึ่ง ที่ตั้งแต่จบม.3 เมื่อสามปีก่อน ก็ไม่ได้เรียนต่อ อาศัยพี่ๆ ที่รับเหมาทำไฟตามบ้านไปทำงานเรื่อยๆ จนได้สกิลการทำไฟมาโดยไม่ต้องเรียนเน้นประสบการณ์ล้วนๆ จนตอนนี้ก็เป็นช่างไฟที่หาตัวจับได้ยากคนหนึ่งในเขตนี้ ส่วนเจ้าเคสนั่นน่ะ ตอนนี้มันเรียนม.5 ต่อให้ย้ายมาเรียนที่บ้านนอกคอกนาอย่างนี้ก็ยังเรียนโรงเรียนเอกชนชื่อดังระดับจังหวัด มีรถหรูไปส่งแต่เช้า แล้วก็รับกลับมาตอนเย็น บ้านของมันมีทุกๆ อย่าง แม้ว่าจะเป็นบ้านน็อคดาวน์หลังไม่ใหญ่เท่าไหร่ก็ตาม แต่ข้างนั้นนั้นครบจนเหมือนคฤหาสน์อยู่แล้ว
ส่วนไอ้ที่มาของการโดนบอกชอบนั่นก็คือตอนที่ผมไปเดินไปแถวๆ ชานของร้านกาแฟที่มีส่วนของเทอเรสด้านข้างติดริมน้ำ ปรากฏว่าวันก่อนฝนตก วันต่อมาเลยมีน้ำป่าไหลมา ไม่แรงจนน่ากลัว แต่น้ำสีครามก็ขุ่นเป็นสีชาไปแล้ว ด้วยความที่เพลินหรืออะไรสักอย่างอยู่ๆ มันก็ร่วงตู้มลงไปในน้ำแล้วโดนพัดไปในทันที เป็นผมเองอีกนั่นแหละที่ตั้งสติได้ก่อน และไม่ได้ว่างมากพอจะตะโดนบอกใครต่อใครว่า “ลูกนายตกน้ำ” แล้วกระโดดลงไปเลย กว่าจะว่ายไปทันและลากเข้าขึ้นริมฝั่งได้ก็โดนพัดไปเกือบร้อยเมตร เคสหมดสติไปแล้ว ผมฝายปอดอย่างทุลักทุเล สุดท้ายเขาก็มีสติขึ้นมาแล้วถูกส่งโรงพยาบาลโดยด่วน นั่นทำให้ตอนนี้ผมกลายเป็นที่รักของนายหัวไปแล้วเรียบร้อย เขาให้เงินตอบแทนความกล้าผมมากพอๆ กับการรับจ้างทั้งเดือน แล้วพาผมไปเยี่ยมเคส เพื่อให้ลูกชายเขาขอบคุณผม แล้วปล่อยให้ผมอยู่กันสองคน สิ่งที่เกิดขึ้นคือนอกจากคำขอบคุณสั้นๆ ความเงียบก็อัดแน่นเต็มไปหมด
หลายวันต่อมาหลังจากที่ผมเร่งงานให้เสร็จ เคสก็ออกจากโรงพยาบาล งานเหมาคืองานที่ต้องใช้เวลา เพราะยิ่งเร็วเท่าไหร่ ก็ได้กำไรมากเท่านั้น มีเวลาไปรับเหมางานอื่นอีกมากมาย ปรากฏว่า เคสจากที่ไม่ค่อยคุยอะไรกับผมก็มานั่งคุยกับผมบ่อยๆ ยิ่งตอนที่ผมมาเดินไฟในร้านกาแฟ เขาเองที่กำลังหัดทำลาเต้อาร์ตก็ชอบเอากาแฟมาให้ แรกๆ ก็คิดว่าน้องขอบคุณนั่นแหละ แต่พอเริ่มเข้าแก้วที่สี่ผมว่ามันไม่ใช่ แต่ก็ทำให้ผมได้ทำความรู้จักกับเขามากขึ้น
เคส อายุ 17 ผิวขาวแต่ไม่ได้ขาวจัด ทว่าก็ดูดีกว่าผู้หญิงหลายคน เด็กกรุงเทพมันก็อย่างนี้นั่นแหละ หน้าตาก็หล่อเหลา บางครั้งผมก็ไม่รู้ว่าเพราะคนกรุงเทพมันหน้าตาดีหรืออะไรนะ วัยรุ่นสมัยนี้หล่อสวยกันทุกคนเลย ส่วนเคสจัดอยู่ในโซนพวกเกลาหลีล่ะมั้ง หน้าขาว จมูกโด่ง ปากนิด จมูกหน่อยตาคมๆ ยิ้มง่าย นิสัยร่าเริง…ส่วนผมก็ว่าผมหล่อนะ แต่ถ้าให้ยืนข้างมันแล้วให้สาวกรี๊ด ก็คงเป็นไอ้เคสอยู่ดี
กระทั่งวันที่ผมเก็บงานสุดท้าย ก่อนจะจบงานเหมาที่นี่ เคสทำกาแฟเย็นมาให้ผมข้างแก้ว แล้วเขียนชื่อผมติดข้าวแก้วพร้อมรูปหัวใจก่อนจะบอกว่า “เคสชอบพี่เอ็มครับ” ก็ย้อนกลับไปที่คำถามแรกอีกครั้ง
แค่ช่วยตอนจมน้ำครั้งเดียว…อยู่ดีๆ ผมก็โดนบอกชอบ ?
คนกรุงเทพเขาจู่โจมตรงประเด็นแบบนี้ทุกคนหรือเปล่านะ ผมชะงัก ไม่ได้ใจเต้นหรืออะไรนะ แต่คืองง สตั๊น หรืออะไรต่างๆ ที่สามารถทดแทนอาการไปไม่เป็นของผมได้ ทำอะไรไม่ถูกสักอย่าง ไม่แม้กระทั่งรับแก้วกาแฟจากเขา แล้วเดินออกมาเฉยๆ โดยไม่หันกลับไปมองเขาเลย
ผ่านไปสองสามเดือน รีสอร์ และร้านกาแฟของเคสกลายเป็นแลนด์มาร์คใหม่ จนกระทั่งเพื่อนผมที่ไปเรียนมหาลัยต่างจังหวัดกลับมาเลยชวนผมไปเที่ยวร้านนั้นกัน ผมเลยตอบตกลง แม้ว่าในใจมันก็ยังคงคาใจเรื่องคำสารภาพรักวันนั้นของเคสอยู่ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยจริงๆ ว่าผมไม่ได้ลืมเขาเลย เขาเป็นบาริสต้า ทำลาเต้อาร์ตเป็นแล้ว ดูจากที่เขานั้นยืนทำอยู่ตรงเคาน์เตอร์แล้วเอามาเสิร์ฟที่โต๊ะให้เพื่อนผม ผมอึดอัดไปวูบหนึ่งตอนเขาเดินผ่านมา แล้วเขาก็เดินกลับไปโดยไม่หันมองผมเลยเหมือนกัน จนตอนนี้กลายเป็นผมที่แอบมองตามเขาไป…
“บาริสต้างานดีว่ะ” เพื่อนคนหนึ่งพูดขึ้น
“โคตรน่ารักเลย ใครไปขอเฟล ไลน์ ไอจีให้กูได้มั้ยวะ ?”
“ไอ้เอ็มเลย แม่งเคยลงรูปว่ามาทำไฟที่ร้านนี้…มึงรู้จักเขาใช่ไหม ?”
“อืม” ผมตอบ “เป็นลูกเจ้าของร้านน่ะ ชื่อเคส”
“โหยยยย…นุ้งเคส กูละอยากได้มาประดับโทรศัพท์ ฮ่าๆ” เพื่อนๆ ผมต่างพูดคุยกันสนุกสนาน จนก่อนกลับ พวกมันบังคับให้ผมไปขอไอจีเคส ผมเลยตัดรำคาญด้วยการจะทำให้ เลยหาจังหวะลูกค้าว่างๆ แล้วเดินเข้าไปหาเขา ปรากฏว่าเขายิ้มกว้างด้วยท่าทางดีใจมากๆ นั่นทำให้ผมรู้สึกเสียใจที่วันนั้นเลือกทำอะไรแย่ๆ กับเขาเอาไว้
“เพื่อนให้มาขอไอจี…” คำพูดของผมทำเอาเขาหุบยิ้มลงไปเลยในทันที
“ผมนึกว่าพี่อยากมาหาผมเอง…” เขาพูดเศร้าๆ “ผมไม่ให้”
“อย่าทำแบบนี้น่า ให้ๆ ไปเถอะจะได้จบๆ”
“แล้วกาแฟแก้วนั้น…ทำไมไม่รับมันไปให้มันจบๆ” เขาพูดเสียงดังขึ้นเล็กน้อย แต่โชคดีที่ไม่มีใครในร้านนอกจากเราสองคน “ทีแบบนี้มาพูดอะไรแบบนี้เห็นแก่ตัวว่ะ…”
“เออ…ไม่ให้ก็ไม่ให้” พูดจบผมก็เดินหันหลังกลับไปอีกครั้ง สีหน้าผมคงแย่มากๆ จนเพื่อนผมเปิดประตูเข้ามา ผมกำลังจะบอกให้กลับไปซะ เพราะเคสไม่ให้แล้ว แต่เพื่อนกลับแย่งถามขึ้นมาก่อน
“มึงเป็นเชี่ยไรทำน้องเขาร้องวะ ?”
นั่นทำเอาผมชะงัก แล้วหันกลับไปมอง เคส…กำลังร้องไห้อยู่
ผมกำหมัดแน่น ไม่รู้ว่าจะทำยังไง อยากเดินหนี แต่ถ้าผมเดินหนีก็เท่ากับว่าผมแม่งทำร้ายเจ้าเด็กนั่นซ้ำแล้วซ้ำเล่า
แล้วในที่สุด ผมก็ตัดสินใจเดินกลับไปหาเขา พร้อมๆ กับเพื่อนๆ ผมที่เดินตามเข้ามาเพราะคิดว่ามันกำลังจะเกิดเรื่อง ตอนนี้ผมกับเคสยืนอยู่กันคนละฝั่งของเคาน์เตอร์ มือสั่นๆ เอื้อมไปปาดน้ำตาให้เขาที่ยังคงร้องไห้อยู่อย่างนั้น ผมพูดกับเขาเบาๆ
“ยัง…ชอบอยู่เหรอ ?”
เขาพยายามจะหยุดร้องไห้แล้วพยักหน้า มือผมเคลื่อนไปลูบไล้แก้มนวลๆ ของเขาเบาๆ ก่อนจะหันกลับไปหาเพื่อนๆ ที่ยืนมองผมตาวาว “เฮ้อ…น้องเขาไม่ให้ไอจีพวกมึงหรอก”
“อ้าว…”
“ทำไมวะ ?”
“พวกมึงไม่มีสิทธิ์มาขอไอจีคนของกูป่ะ ?”
“หือ… ?”
“ไอ้เด็กเนี่ย…ของกู”
สุดท้ายผมก็รู้สึกแบบงงๆ ว่าหวงไอ้เคส แบบไม่อยากให้ใครมายุ่งกับมันเลยจริงๆ หลังจากส่งเพื่อนเสร็จ ผมก็มาหาเคส เรานั่งคุยกันที่ร้านกาแฟกระทั่งร้านปิดและผมก็ช่วยเขาเก็บร้าน หัวหน้าแวะมาพอดีในช่วงเก็บร้าน เราทุกทายกันเล็กน้อยตามประสาคนเคยดีต่อกัน ก่อนที่ผมจะถูกเขาฝากฝังแบบไม่ทันตั้งตัว
“ดูแลลูกชายผมดีๆ นะ…อยู่กรุงเทพผมไม่ยอมให้คบใครเลยนะ ?”
นั่นทำเอาผมตาเหลอกเพราะทั้งงงทั้งตกใจ แล้วพอหันไปหาเคส ก็ปรากฏว่าเขายืนยิ้มอยู่
…มันร้าย
สามทุ่ม มีงานวัดที่ต่างอำเภอ ผมขออนุญาตหัวหน้าเพื่อพาเคสมาด้วย แล้วในระหว่างที่ขับรถไป ผมก็คว้ามือเขามาจับ มือเขานุ่มมากๆ จนผมหลงใหลคิดไปไกล แล้วเผลอพูดออกมาว่า “มือยังนุ่มขนาดนี้…”
“นุ่มนิ่มไปทั้งตัวครับ…”
“นุ่ม…” ผมหันไปยิ้ม “จนแข็งไปหมดแล้วเนี่ย…”
“งั้น…ผมทำให้อ่อนได้นะครับ” เขาพูดแล้วยิ้ม
“ที่นี่ไม่ได้”
“ได้สิครับ” ผมพูด ก่อนเอื้อมมือเอี้ยวตัวมาลูบไล้ส่วนกลางกายของผมที่แข็งขืนขึ้นมาแล้วจริงๆ ตามที่บอก แล้วค่อยๆ ปลดซิปลงช้าๆ “ขับช้าๆ นะครับ…มันอันตราย”
“อะไรกันล่ะเนี่ย ?” ผมพูด แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจจอดรถที่ข้างทางเปลี่ยน ดันเบาะถอยหลัง แล้วเอนเบาะ ก่อนจะกดหัวเขาลงมาที่ส่วนตั้งตรงช้าๆ “งั้น…อมสิ”